Thursday, October 25, 2018

อย. แจง คุมเข้มมาตรฐานการผลิตน้าปลาไทย ขอผู้บริโภควางใจ


จากข่าวในสองสามวันนี้คือ
  1. ประกาศจาก US FDA - Import Alert 16-74 (Report)
    • สำหรับเรื่องการแบนน้ำปลาจากไทยนั้น เนื่องจาก US FDA มีความกังวลในการที่ตรวจพบน้ำปลาซึ่งเกิดจากการหมักจากปลาที่ไม่เอาไส้ปลาออก (uneviscerated) นั้นจะเป็นแหล่งของเชื้อ Clostridium botulinum ซึ่งอาจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ แต่ในปี 2560 ไทยได้เก็บตัวอย่างน้ำปลาส่งตรวจ 48 ตัวอย่าง ก็ไม่พบเชื้อหรือท็อกซินจากเชื้อดังกล่าว
  2. ด่วน! อเมริกา สั่งแบน น้ำปลาไทย ร้านอาหารไทยอ่วม หันไปใช้เกลือ (ข่าวสด
    • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ประกาศห้ามนำเข้าน้ำปลาจากไทยเนื่องจากต้องการให้ไทยตรวจสอบพิสูจน์สารปนเปื้อนจากการหมักน้ำปลาว่าไม่มีส่วนผสมของสารก่อมะเร็ง เพราะการหมักน้ำปลาจะใช้เป็นปลาตัวเล็กจึงไม่สามารถชำแหละเอาไส้ปลาออกได้
  3. รมต.ต่างประเทศ ตอบแล้ว! หลังอเมริกา สั่งแบนน้ำปลาไทย จนต้องหันไปใช้เกลือ! (ข่าวสด)
  4. 'อย.-พาณิชย์' ยันน้ำปลาไทย ไม่ถูกอเมริกาแบน (กรุงเทพธุรกิจ)
    • เลขา อย. นพ.พูลลาภ  “กรณีที่มีการระบุว่ามีการตรวจพบสารก่อมะเร็งในน้ำปลาไทยนั้น ข้อเท็จจริงคือมีข้อมูลวิชาการระบุว่าฮีสตามีนอาจก่อมะเร็งได้ แต่จะต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากเหมือนการดื่มเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งขณะนี้อย.ไทยยังไม่มีข้อมูลว่าน้ำปลาไทยจะก่อมะเร็ง เนื่องจากในน้ำปลามีฮีสตามีนอยู่ในปริมาณที่น้อยมากๆและไม่เคยมีรายงานว่าเกิดมะเร็งจากการกินน้ำปลา” 

นพ. พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีมีข่าว U.S. FDA ออกประกาศห้ามนำเข้าน้ำปลาจากประเทศไทยนั้น อย. ขอชี้แจงเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่า กรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเตรียมหลักฐานเพื่อให้เป็นไปตามข้อก้าหนดของทางสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ประเด็นการตรวจพบความไม่ปลอดภัยของน้ำปลาจากประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อย. จะเชิญผู้ประกอบการตามที่เป็นข่าวมาหารือและชี แจงในประเด็นดังกล่าว พร้อมทั งเข้าตรวจสอบ
กระบวนการผลิตของโรงงานผลิตน้ำปลา และจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจกับ U.S. FDA เรื่องความปลอดภัยในกระบวนการผลิตน้ำปลาของประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์อาหาร น้ำปลา ต้องมีมาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 203 พ.ศ.2543 (ปก.สธ.203



Wednesday, October 24, 2018

อย. ประกาศยกเลิกเลขสารบบอาหารผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 22 รายการ พักใบอนุญาตสถานที่ผลิต/นำเข้า 8 แห่ง

ตามหนังสือคณะกรรมการอาหารและยา เลขที่ สธ 1006.4/12978 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2561 เรื่อง แจ้งมาตรการตรวจสอบเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์อาหารที่ถูกยกเลิกเลขสารบบอาหาร และสถานที่ผลิตที่ถูกพักใช้ใบอนุญาต
  • ยกเลิกเลขสารบบอาหารผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 22 รายการ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ต้องไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด
  • พักใบอนุญาตสถานที่ผลิต/นำเข้า 8 แห่ง เวลา 120 วัน ผลิตภัณฑ์อาหารของสถานที่ผลิต/นำเข้าที่อยู่ระหว่างพักใช้ใบอนุญาต ต้องไม่มีผลิตภัณฑ์ในรุ่นที่ผลิต ที่มีวันที่ผลิตอยู่ระหว่างการถูกพักใช้ใบอนุญาต วางจำหน่ายในท้องตลาด
รายละเอียดตามภาพที่แนบมาด้วยนี้







Monday, October 8, 2018

สรุปประเด็น "ไขมันทรานส์" อาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายในประเทศไทย


สรุปประเด็นชี้แจงประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561
  1. คำสำคัญของประกาศฉบับนี้ “ห้ามการผลิต นำเข้า จำหน่าย PHOs ซึ่งเป็นแหล่งหลักของไขมันทรานส์ แต่มิได้ห้ามตรวจพบไขมันทรานส์ในอาหาร”
  2. ไขมันทรานส์ แบ่งได้เป็น
    • ไขมันทรานส์จากธรรมชาติ พบได้ในเนื้อวัว ควาย ซึ่งเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ดังกล่าว เช่น นม เนย ชีส แต่พบในปริมาณเพียงเล็กน้อย
    • ไขมันทรานส์จากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partial Hydrogenation) ลงไปในน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งน้ำมันที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวจะเรียกว่า Partially Hydrogenated Oil ทำให้น้ำมันที่อยู่ในสภาพของเหลวเปลี่ยนเป็นไขมันที่มีสภาพแข็งขึ้นหรือเป็นของกึ่งเหลว พบในอุตสาหกรรมเนยเทียม (margarine) หรือเนยขาว (shortening) ซึ่งไขมันดังกล่าวจะหืนช้า และมีอายุการเก็บรักษานานขึ้น
  3. อันตรายจากไขมันทรานส์ เพิ่ม LDL และ Triglyceride ลด HDL เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  4. ปริมาณที่สามารถบริโภคได้ต่อวัน
    • ไขมันทรานส์ต้องไม่เกิน 1% ของค่าพลังงานต่อวัน (หรือประมาณ 2 กรัมต่อวัน) 
    • ไขมันอิ่มตัวที่ไม่เกิน 10% ของค่าพลังงาน (หรือประมาณ 20 กรัมต่อวัน)
  5. ขอบเขตของประกาศกระทรวงสาธารณสุขและการบังคับใช้ 
    • ​​​บังคับใช้กับ น้ำมันและไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partial hydrogenation) และอาหารที่มีน้ำมันและไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบเท่านั้น 
    • มิได้หมายรวมถึงน้ำมันและไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนแบบสมบูรณ์ (Fully hydrogenation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ทำให้เกิดไขมันทรานส์
    • ประกาศฯ ฉบับนี้ ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ แต่มิได้ห้ามตรวจพบไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร
  6. วันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
  7. กรณีผลิตอาหารเพื่อการส่งออกเท่านั้น สามารถใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบได้
  8. ไขมันทรานส์สามารถตรวจพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหาร แต่แหล่งที่มาต้องไม่ใช่จากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน
  9. การสื่อสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับไขมันทรานส์แก่ผู้บริโภค
    • ​ให้แสดงข้อความ “ปราศจากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ซึ่งเป็นแหล่งหลักของไขมันทรานส์” “No partially hydrogenated oils that is the main source of trans fat” ในสื่อสารประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคในช่องทางต่างๆ เช่น ป้ายติดหน้าร้าน ตู้หรือชั้นแสดงสินค้า สื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น
    • แสดงปริมาณไขมันทรานส์ได้เฉพาะในกรอบข้อมูลโภชนาการเท่านั้น โดยให้แสดงไว้ที่ตำแหน่งใต้ไขมันอิ่มตัว และใช้หลักเกณฑ์การปัดตัวเลขเช่นเดียวกับไขมันอิ่มตัว
    •  ปัจจุบันยังไม่สามารถแสดงข้อความกล่าวอ้าง “ปราศจากไขมันทรานส์” ได้ 
    • น้ำมันบริโภคผ่านกรรมวิธี (Refined edible oil / Refined cooking oil) ไม่ได้เป็นแหล่งของไขมันทรานส์
    • น้ำมันทอดซ้ำมิใช่เป็นแหล่งของไขมันทรานส์ แต่อันตรายของน้ำมันทอดซ้ำที่ควรคำนึงถึงเป็นสำคัญ คือ สารก่อมะเร็ง 
    • อาหารที่มีส่วนประกอบของเนยเทียม หรือเนยขาว ผู้บริโภคยังคงสามารถรับประทานได้ เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ประกอบการน้ำมันและไขมันส่วนใหญ่ได้ปรับใช้กระบวนการอื่นแทนกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน และมีการปรับสูตรผลิตภัณฑ์อาหารโดยไม่ใช้น้ำมันที่ผ่านการเติมไฮโดรเจนบางส่วนแล้ว
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
  1. เอกสารประกอบการบรรยาย "ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ.2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย" (Download)
  2. ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเลขที่ 388 พ.ศ.2561เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย (Download)
  3. ​ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง คำชี้แจงประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ.2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย (Download)
  4. ประเด็นถาม-ตอบ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ.2561 เรื่อง ก าหนดอาหารที่ห้ามผลิต น าเข้า หรือจ าหน่าย (Download)
บทความน่าอ่าน
  1. เปิดประวัติ Trans Fat ทำไม ‘ไขมันทรานส์’ จึงกลายเป็นตัวร้ายทำลายสุขภาพ (The Matter)



GMP ผักผลไม้

ประเทศไทยมี GMP ผักผลไม้ โดยมีประกาศที่เกี่ยวข้องคือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 386 พ.ศ. 2560 เรื่องกำหนดวิธีการผลิต เครื่องมือ เครื่องใช้ในการผลิตและการเก็บรักษา ผักหรือผลไม้สดบางชนิดและการแสดงฉลาก (ปก สธ 386)

ผักผลไม้ที่เข้าประกาศนี้ ได้แก่
  • ผลไม้ 20 รายการ ได้แก่ กล้วย, เกาลัด, แก้วมังกร, แตงเทศ ได้แก่ แคนตาลูป และเมลอน, เงาะ, ชมพู่, แตงโม, ทับทิม, ฝรั่ง, พุทรา, มะม่วง, มะละกอ, ละมุด, ลำไย, สตรอว์เบอร์รี่, ส้มเปลือกล่อน, ส้มเปลือกไม่ล่อน, สาลี่, องุ่น และ แอปเปิ้ล
  • ผัก 28 รายการ กระเทียม กระเทียมโทน และกระเทียมจีน, กะหล่ำดอก รวมทั้งกะหล่ำเจดีย์, กะหล่ำปลี รวมทั้งกะหล่ำปลีใบย่น, กุยช่าย, ข่า, คะน้า, แครอท, ต้นหอม, ถั่วงอก, ตำลึง , แตงกวา แตงร้าน, ถั่วฝักยาว, ถั่วลันเตา, บร็อกโคลี รวมทั้ง กะหล่ำดอกอิตาเลียน, กะเพรา โหระพา ใบแมงลัก, ใบบัวบก, ผักปวยเล้ง, ผักกาดขาวปลี, ผักโขม, ผักบุ้ง, พริกเผ็ด รวมทั้งพริกชี้ฟ้า พริกหนุ่ม, พริกหวาน รวมทั้งปราปิกา, ฟักทอง, มะเขือเทศ, มะเขือเปราะ, มันฝรั่ง, หอมแดง และ เห็ด (mushrooms) ที่เพาะเลี้ยง เช่น เห็ดโคนญี่ปุ่น, เห็ดโคนชิเมจิ, เห็ดหูหนูดำ, เห็ดหลินจือ, เห็ดหอม, เห็ดฟาง, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
ขอบเขตการบังคับใช้ประกาศฉบับนี้
  • ผู้ผลิตผักหรือผลไม้ ทั้งที่รับวัตถุดิบมาจากผู้อื่น หรือไม่ได้รับแต่มีอาคารโรงเรือนสำหรับคัดและบรรจุ และผักผลไม้นั้นไม่จำหน่ายโดยตรงต่อผู้บริโภคเป็นอาหารทั่วไป ไม่ใช่อาหารพร้อมปรุงหรือพร้อมบริโภคทันทีต้องปฏิบัติตามประกาศนี้

ทำอย่างไรจึงจะผ่านเกณฑ์ GMP ผักผลไม้
ผู้ผลิต(คัดและบรรจุ) ผักและผลไม้สดต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการผลิต เครื่องมือ เครื่องใช้ในการผลิตและการเก็บรักษาผักหรือผลไม้สดบางชนิดและการแสดงฉลาก ประกอบด้วย 6 หมวดดังนี้
  1. สถานที่ตั้งอาคารหรือบริเวณผลิต
  2. เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต 
  3. การควบคุมกระบวนการผลิต
  4. การสุขาภิบาล
  5. การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด
  6. บุคลากร สุขลักษณะผู้ปฏิบัติงาน
สิ่งที่ต้องเน้นในกระบวนการผลิตผักและผลไม้คือ การควบคุมกระบวนการผลิต (หมวดที่ 3)
  1. วัตถุดิบผักและผลไม้สดต้องมาจากแหล่งเพาะปลูกหรือมาจากแปลงที่มีระบบการควบคุมการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก ต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
    • ผลการตรวจประเมินจากคู่ค้า(Secondary Audit) เรื่อง ระบบการควบคุมการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก ที่ครอบคลุมแหล่งที่มาและชนิดของวัตถุดิบผักหรือผลไม้สดที่รับซื้อตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมิน 
    • ใบรับรองมาตรฐานแหล่งเพาะปลูก ได้แก่ GAP, ใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์, ใบรับรองมาตรฐาน Global GAP Thai GAP เป็นต้น
  2. จัดทำทะเบียนเกษตรกรผู้จัดส่งวัตถุดิบผักหรือผลไม้สด
  3. จัดทำทะเบียนผู้รวบรวม หรือผู้จัดหา (ถ้ามี)
  4. มีมาตรการตรวจสอบการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในวัตถุดิบผักหรือผลไม้สดอย่างสม่ำเสมอโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย และตรวจวิเคราะห์โดยห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ที่ได้รับการรับรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  5. การดำเนินการระหว่างการคัดและบรรจุ มีการขนย้ายวัตถุดิบผักหรือผลไม้สด ภาชนะบรรจุ รวมถึงในขั้นตอนการเก็บรักษา ต้องมีมาตรการป้องกันการปนเปื้อนและเสื่อมสลายของอาหารด้วย การขนส่งผลิตภัณฑ์ผักหรือผลไม้สด ต้องขนส่งในลักษณะที่ป้องกันการปนเปื้อนและเสื่อมสลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  6. การควบคุมกระบวนการคัดและบรรจุให้เป็นไปตามข้อกำหนดหรือตามความเหมาะสมของกระบวนการคัดและบรรจุผัก หรือผลไม้สดชนิดนั้นๆ อย่างเคร่งครัด
  7. น้ำหรือน้ำแข็งที่ใช้ในกระบวนการล้างทำความสะอาด หรือต้องสัมผัสกับผักและผลไม้สดที่พร้อมบริโภคทันที ต้องเป็นน้ำสะอาดเหมาะสมตามวัตถุประสงค์การใช้ ผ่านการปรับสภาพตามจำเป็นและมีการนำไปใช้ที่ถูกสุขลักษณะ
  8. มีการบ่งชี้ หรือระบุรุ่นการผลิต หรือวันที่ผลิต เพื่อการตามสอบย้อนกลับ
  9. มีบันทึกหรือข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบผักหรือผลไม้สด สารเคมีที่ใช้ในการผลิต การควบคุมกระบวนการผลิต รวมถึงผลิตภัณฑ์และเก็บรักษาบันทึกไว้ เพื่อสามารถตรวจประเมินและตามสอบได้ ดังนี้
    • ทะเบียนเกษตรกรผู้จัดส่งวัตถุดิบ หรือผู้รวบรวม ผู้จัดหา (ถ้ามี)
    • บันทึกการรับวัตถุดิบผักหรือผลไม้สด
    • บันทึกการควบคุมกระบวนการผลิต
    • บันทึกการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ
    • บันทึกแสดงชนิดและปริมาณการผลิต และข้อมูลการจำหน่าย
    • เอกสารใบรับรองมาตรฐานเพื่อแสดงว่ามีการคัดเลือกวัตถุดิบผักหรือผลไม้สดที่มีคุณภาพและความปลอดภัย
    • รายงานผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง
แผนผังการขออนุญาตผลิตและการขอรับเลขสารบบอาหาร กรณีเข้าข่าย "ผู้ผลิต"


แผนผังการขออนุญาตนำเข้าและการขอรับเลขสารบบอาหาร กรณีเข้าข่าย "ผู้นำเข้า"


แผนผังการขออนุญาตผลิตและการขอรับเลขสารบบอาหาร กรณีเป็น "ผู้ผลิตที่ไม่เข้าข่าย"


แผนผังการขออนุญาตนำเข้าและการขอรับเลขสารบบอาหาร กรณีเป็น "ผู้นำเข้าที่ไม่เข้าข่าย"



ผักหรือผลไม้สด ตามบัญชีหมายเลข 1 ท้ายประกาศ จัดเป็นอาหารทั่วไป ซึ่งตามระเบียบสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับเลขสารบบอาหาร พ.ศ. 2557 ให้อาหารที่ผ่านการตรวจประเมินสถานที่ผลิตอาหาร ตามประกาศกระทรวงสาธาณสุขว่าด้วยเรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ ในการผลิตและการเก็บรักษาอาหารที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะสำหรับอาหารนั้น ๆ และประสงค์จะแสดงเลขสารบบอาหาร เป็นอาหารที่ต้องแสดงเลขสารบบอาหาร



Sunday, October 7, 2018

ข้อมูลความปลอดภัยของกระเทียมดำ

หนังสือด่วนที่สุดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ที่ สธ 1010.4/ว10078 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2561 เรื่อง ข้อมูลความปลอดภัยและความเหมาะสมในการใช้กระเทียมดำเป็นอาหารหรือส่วนประกอบในอาหาร

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้พิจารณาทบทวนความปลอดภัยและความเหมาะสมในการใช้กระเทียมดำเป็นอาหารหรือส่วนประกอบของอาหาร สรุปว่า ยังไม่สามารถพิจารณาความปลอดภัยและความเหมาะสมของการใช้กระเทียมดำเป็นส่วนประกอบในอาหารได้ เนื่องจากข้อมูลยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะข้อมูลองค์ประกอบโดยรวม (Profile) ที่มีอยู่ในกระเทียมดำ ข้อมูลการศึกษากระบวนการผลิตที่เหมาะสม ข้อมูลการศึกษาพิษวิทยาในสัตว์ทดลองสำหรับกระเทียมดำ ประกอบกับกระเทียมดำมีประวัติการบริโภคเป็นอาหารน้อยกว่า 15 ปี จึงเข้าข่ายเป็นอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารใหม่ (Novel Food) การพิจารณาอนุญาตเป็นอาหาร จึงต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยก่อนการอนุญาต

กระเทียมสด

  • กระเทียมสดมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Allium Sativum สารสำคัญที่พบ ประกอบด้วย สารในกลุ่มซัลไฟต์ ได้แก่ Alliin, Allicin เอนไซม์ได้แก่ Allinase, Peroxidases, Myrosinase กรดอะมิโนและไกลโคไซด์ และแร่ธาตุต่าง ๆ 
  • Allicin เป็นสารในกลุ่ม ThioSulfinate พบได้ในกระเทียมประมาณ 70-80% นอกจากนี้ยังมีสารสำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ S-ally-L-cysteines (SAC) เป็นสารในกลุ่ม Organosulfur สามารถละลายได้ในน้ำ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
กระเทียมดำ
  • กระเทียมดำเป็นการนำกระเทียมสดทั้งกลีบมาผ่านกระบวนการให้ความร้อนพร้อมกับควบคุมอุณหภูมิและความชื้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน จะได้กระเทียมที่มีสีดำ เนื้อกระเทียมมีลักษณะเหนียวและยืดหยุ่นคล้ายเจลลี่มีรสหวานและกลิ่นเปรี้ยว การให้ความร้อนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิกริยาต่าง ๆ ในกระเทียม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสี กลิ่นรส ชนิดและปริมาณสารอาหาร 
  • กระเทียมดำมีปริมาณสาร SAC สูงกว่ากระเทียมสดประมาณ 5-6 เท่า ปริมาณ Polyphenol 7 เท่า และปริมาณวิตามินที่ละลายน้ำ 1.15-1.92 เท่า ในขณะที่ปริมาณวิตามินที่ละลายในไขมันลดลง
  • โดยปริมาณสารดังกล่าวจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและอุณหภูมิที่ใช้ในการผลิต ซึ่งยังไม่มีข้อกำหนดทางด้านคุณภาพและมาตรฐานที่ชัดเจน อีกทั้ง ยังไม่ทราบองค์ประกอบโดยรวม (Profile) ที่มีอยู่ในกระเทียมดำ โดยเฉพาะสารที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตได้ โดยอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภคหากได้รับเป็นระยะเวลานาน
ความปลอดภัยในการบริโภคกระเทียมดำ
  • ผลต่อการเพิ่มฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาอื่น ๆ เช่น ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ Chlorpropamide และยาพาราเซตามอล เป็นต้น
  • การบริโภคกระเทียมดำเป็นเวลานานอาจส่งผลให้มีเลือดออกในระหว่างผ่าตัดได้
การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
  • ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นอาหารหรือส่วนประกอบในอาหารที่ผลิตหรือนำเข้าเพื่อการจำหน่ายในประเทศ
  • เข้าข่ายเป็นอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารใหม่ (Novel Food) การพิจารณาอนุญาตเป็นอาหาร จึงต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยก่อนการอนุญาต
คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่
  1. ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ต้องรับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่ต้องได้รับยาต้านการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด หรือผู้ที่อยู่ระหว่างการผ่าตัด ต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานกระเทียมดำ และกระเทียมสด เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
  2. ตรวจติดตามและเฝ้าระวังการผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในท้องตลาด โดยหากมีข้อสงสัยในข้อมูลดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ สำนักอาหาร กลุ่มมาตรฐานอาหาร 0 2590 7178-9








แนวทางการเลิกใช้แคปซีล (Cap Seal)

แนวทางปฏิบัติในการส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม ตามหนังสือกระทรวงสาธารณสุขที่ สธ 1010.2/ว7721 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2561

  1. กรณีน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทที่เป็นภาชนะแบบใช้ครั้งเดียวนั้น มีฝาหรือจุกปิด และปิดผนึกโดยรอบระหว่างฝาหรือจุกกับขวดหรือภาชนะบรรจุอยู่แล้ว การไม่ใช้แคปซีลจึงไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของน้ำบริโภค
  2. กรณีน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทที่เป็นภาชนะแบบหมุนเวียนใช้ซ้ำที่มีการใช้แคปซีลเพื่อเป็นวัตถุประสงค์เป็นฉลากอาหารและ/หรือป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมจากการใช้ฝา และภาชนะหมุนเวียนใช้ซ้ำ ขอความอนุเคราะห์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจารณาความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสำคัญ




Wednesday, August 29, 2018

เครื่องมือแพทย์


กฎหมาย
  1. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 Click
  2. กฎกระทรวง การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๕ Click
  3. กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๒ Click
  4. คำสั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ที่ 548/2551 เรื่อง มอบอำนาจเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องมือแพทย์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด Click
ค่าใช้จ่าย
  1. ค่าธรรมเนียม เครื่องมือแพทย์ Click
  2. ค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2560 Click
พนักงานเจ้าหน้าที่
  1. บันทึกตรวจสถานประกอบการเครื่องมือแพทย์ Click
  2. แบบตรวจรับคำขออนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ Click
  3. คำขออนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ ข.พ.1 Click
คู่มือผู้ประกอบการ
  1. หน้าที่ของผู้ประกอบการด้านเครื่องมือแพทย์ ตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 Click
การเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ รายละเอียดดังนี้
  1. เก็บค่าคำขอต่ออายุใบอนุญาตขายฯ ฉบับละ 100
  2. ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายฯ ฉบับละ 1,000 บาท
  3. เก็บค่าธรรมเนียมตาม ม. 44 ข้อ 2.2.1 คำขอละ 12,000 บาท
  4. รวมค่าใช้จ่าย 13,100 บาท

ตรวจจับข้อความจากภาพ (OCR) ตัวอย่างการแสดงผลข้อความจาก OCR ข้อความที่ตรวจจับได้: ฉลองเปิดคลินิกใหม่ ไ...